ลูกมีพัฒนาการ
ทำไมลูกไม่ได้ดั่งใจ
เรียนก็ช้า
ยิ่งโตยิ่งพูดยาก
เก่งสู้ข้างบ้านก็ไม่ได้
หงุดหงิดง่าย
โกรธง่าย
เด็กมีวัยและพัฒนาการตามอายุ
ที่ทำให้ร่างกาย จิตใจ สังคมและปัญญามีข้อจำกัด
ซึ่งแต่ละช่วงของการเปลี่ยนแปลงตามพัฒนาการนี้ เด็กจะมีความสามารถ ความรู้สึกนึกคิดแตกต่างกัน
แต่จะอยู่ในรูปของการพัฒนาเพิ่มขึ้นหรือจะมีความสามารถเพิ่มขึ้น หากพ่อแม่เข้าใจ
การเลี้ยงลูกจะง่ายกว่าที่คิดมาก
ตัวอย่างเช่น
· เด็กอายุ 2 ขวบ
จับกรรไกรได้แต่ตัดไม่เป็น ชอบฉีกกระดาษแต่ไม่เป็นรูปร่าง
· เด็กอายุ 3 ขวบ ใช้กรรไกรตัดกระดาษเป็นเส้นยาวๆได้
ฉีกกระดาษตามรูปร่างภาพได้
· เด็กอายุ 4 ขวบ
ตัดกระดาษตามรูปร่างได้
แปะกระดาษตามรูปรอยของภาพที่กำหนดให้
เมื่อเด็กอายุ
5 ขวบ จะมีความสามารถมากขึ้นตามลำดับ
สำหรับการพูดยิ่งโตยิ่งพูดยาก
เพราะสมองของเด็กงอกงามและพัฒนาถึงระดับคิดแบบ
นามธรรมได้ คิดเชิงซ้อนได้
ถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจจะพลอยคิดไปว่าลูกพูดยากไม่ได้ดังใจ
พัฒนาการของคนนับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยหนุ่มสาว
คนเราจะมีช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงตามวัยซี่งเรียกว่าพัฒนาการนั้น
จำแนกได้เป็น 5 ช่วงอายุ ดังนี้
ช่วงอายุที่ 1 แรกเกิดในครรภ์มารดา
ความเชื่อว่าลูกในครรภ์รับความรู้สึกและการดูแลโดยผ่านจากตัวแม่มาสู่ลูกนี้เป็นความรู้มาแต่อดีต
คนโบราณชอบที่จะตกแต่งห้องหญิงมีครรภ์ด้วยภาพที่สวยงามเจริญตาเจริญใจและสอนหญิงตั้งครรภ์ให้คุยกับลูก
มีความสุขกับลูกในครรภ์ ลูกที่คลอดออกมาจะได้อารมณ์ดี
มีความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นได้
ข้อปฏิบัติอีกอย่างหนึ่งของคนโบราณสำหรับหญิงมีครรภ์ คือ ห้ามหญิงมีครรภ์ทำงานดึก
สมัยก่อนงานที่ทำดึกคือการปักเย็บผ้า
เพราะเป็นงานที่ต้องทำในช่วงว่างจากงานอื่นๆแล้วเป็นงานสบายๆเมื่อทำไปแม่อาจจะเพลิดเพลินจนลืมพักผ่อน
ซึ่งมีผลไม่ดีต่อสุขภาพครรภ์
คนโบราณจึงออกอุบายห้ามหญิงครรภ์ตัดเย็บเสื้อผ้าบนที่นอน
โดยอ้างว่าลูกที่คลอกออกมาจะมีอาการปากแหว่งเพดานโหว่
ซึ่งอุบายนี้ดีมากทำให้ผู้หญิงมีครรภ์ได้พักผ่อนเต็มที่
ในปัจจุบันนี้เองก็มีอุบายมากมายสำหรับหญิงมีครรภ์ในการดูแลสุขภาพของตนเอง
ตัวอย่างเช่น มีโปรแกรมทำสมาธิสำหรับหญิงมีครรภ์ การทำโยคะสงบใจ
หรือไม่ก็ให้ฟังเพลงของโมซาร์ทโดยใช้ผลการวิจัยอ้างอิง ซึ่งก็มีผลทำให้ผู้เตรียมเป็นแม่หลายคนเข้าร่วมกิจกรรมด้วย
และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แม่ได้พักกายใจ
ความจริงแล้วไม่ว่าจะใช้อุบายใดก็ตาม
จุดประสงค์คือการช่วยให้แม่รู้จักเลี้ยงลูกที่อยู่ในครรภ์ให้ถูกต้อง
มีการเจริญเติบโตในครรภ์ ที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลูกวัยนี้จะบอกพ่อแม่ได้ว่าเขาสบายดีหรือไม่
ด้วยการเคลื่อนไหวไปมาในท้องแม่ ซึ่งพ่อแม่สามารถสัมผัสรับรู้ได้
ผ่านทางผนังหน้าท้องของแม่ ถ้าลูกสบายแข็งแรงดี ก็จะดิ้นแรง แต่ถ้าไม่ดิ้นเลย
อาการเช่นนี้ต้องพบสุติแพทย์เพื่อวินิจฉัยด่วน อีกอย่างหนึ่งที่แม่ไม่ควรลืม
คือคุยกับลูกในครรภ์บ้าง อย่าทิ้งให้ลูกเหงา เพราะแม่เอาแต่งาน
โบราณว่าลูกออกมาจะปากหนัก ซึ่งหมายถึงพูดยาก พูดลำบากหรือสื่อสารไม่เป็น
ปัจจุบันคงเป็นน้องออหรือออทิสติกนั่นเอง
ช่วงอายุที่ 2 ทารกถึงวัยเตาะแตะ
เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสมองอย่างรวดเร็ว
เด็กแรกเกิดถึง 2 ขวบ
จะมีความสามารถในการรับรู้ ฉลาด เริ่มใช้ภาษาแบบสัมผัสกายและใจต่อใจ
รู้จักสร้างปฎิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นด้วยการมองตาม ยิ้ม รับสัมผัส การสนทนากับลูก
การมีปฎิสัมพันธ์กับลูกและการเล่นกับลูก
ทำให้เด็กได้รับการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้โลกรอบตัวอย่างรวดเร็ว
ข้อจำกัดของเด็กวัยนี้คือการเรียนรู้โลกรอบตัวอย่างรวดเร็ว
ข้อจำกัดของเด็กวัยนี้คือการใช้ภาษาในการพูด เด็กยังใช้คำได้น้อย เด็กชายพูดช้า
เด็กผู้หญิงพูดเร็วกว่าเป็นธรรมดา อย่าตกใจ แต่ให้คุยและพูดกับลูกสม่ำเสมอ
เด็กจะพูดเก่งเอง
ช่วงอายุที่ 3 วัยเด็กเล็ก อายุ 2-6 ขวบ
ปัญหาและข้อจำกัดสำหรับเด็กช่วงนี้คือ
การทำงานของมือและตายังไม่สัมพันธ์กันดี กล้ามเนื้อมือยังไม่แข็งแรง
ซึ่งเป็นปัญหาด้านการเขียน อย่าไปบังคับให้เด็กคัดเขียนจนกว่าเด็กจะอายุ 4 ขวบ ซึ่งเป็นปีที่เริ่มขีดเขียนตามรอยปะได้
เด็กอาจเขียนไม่สวย ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ อย่าเอาลูกเราไปเทียบกับลูกบ้านอื่น
เด็กแต่ละคนพัฒนาการไม่เท่ากัน บางคนอาจเขียนเร็วแต่เคลื่อนไหว เป็นต้น
อย่าบังคับให้ลูกท่องลูกจำ ลูกบางคนทำได้ แต่บางคนทำไม่ได้ เหตุเพราะช่วงวัยของเขายังอยู่ในระยะกำลังพัฒนา
ซึ่งคนที่มีวุฒิภาวะเร็วจำทำได้เร็ว แต่โดยประมาณแล้วใกล้เคียงกัน
อย่างเร่งเด็กเรียนเกินไป เด็กจะเบื่อหน่ายการเรียนเมื่อโตขึ้น
ค่อยเป็นค่อยไปเด็กจะเก่งและเป็นคนดี
ช่วงอายุที่ 4 เด็กวัยกลาง หรือเด็กช่วงประถมศึกษา
เด็กวัยนี้จะพูดง่ายที่สุด
เพราะเป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการฟักตัว เพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัวให้มากที่สุด
เด็กจะเชื่อฟังดี การเรียนเก่งเรียนอ่อน ช่วงน้ำไม่มีความหมายมากนัก
พ่อแม่ควรทำตนเป็นพี่ที่ดีของลูก คุยกัน
สนทนากันอย่างเป็นมิตรและสนับสนุนกันในทิศทางที่ลูกแสดงความสนใจ
เช่นลูกต้องการเรียนเปียโนเสริมพิเศษต้องให้โอกาส เด็กอาจทำไม่ได้ดีนัก
ต้องให้กำลังใจ เพื่อความมั่นใจและสร้างความกล้าแสดงออก
ช่วงอายุที่ 5 วัยรุ่น อายุ 13 ปีขึ้นไป
ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจากความเป็นเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่
มีช่วงวัยของความเป็นหนุ่มเป็นสาว มีความคิดเป็นของตัวเอง ใฝ่ฝัน มุ่งมั่น
เริ่มคิดเป็นอิสระจากครอบครัว การสนับสนุนลูก ให้กำลังใจลูก และให้ลูกพร้อมเป็นผู้ใหญ่
จะมีความหมายกับลูกมาก และเป็นการสร้างลูกให้สง่างาม
พ่อแม่ควรทำตนเป็นมิตรที่ดีของลูก ลูกต้องการมิตรไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา
หรือผู้วางอำนาจ
ด้วยวัยและพัฒนาการของวัยรุ่นช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ขัดใจพ่อแม่มากที่สุด
และเหมือนว่าลูกไม่ได้ดั่งใจ สิ่งที่เป็นปัญหามาก
ในช่วงเปลี่ยนวัยเปลี่ยนเพศที่กำลังเข้าสู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาว
ลูกจะเรียนอ่อนลงมาก พ่อแม่ต้องเข้าใจ การเรียนอ่อนลงของลูกช่วงนี้ไม่ใช่ลูกเกเร
แต่เหตุใหญ่มาจากลูกกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงในตัวมากที่สุด
เด็กหญิงมีปัญหานมขึ้นเจ็บเต้านม ปัญหามีประจำเดือนต้องดูแลตัวเอง
ส่วนเด็กชายมีปัญหาเสียงแตก องคชาตเริ่มทำงาน มีหนวดงอก
สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติก็จริงแต่เป็นความกังวลของเด็กมาก
ทำให้เด็กขาดความสนใจในการเรียน อย่าดุลูก อย่าว่าลูก
ต้องสนใจและช่วยลูกให้คลายกังวล
ใช้เวลาว่างสบายๆคุยกับลูก
ด้วยวิธีเปรยถึงภาวการณ์เปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจของวัยรุ่น ถ้าเป็นลูกสาว
อาจถามว่า “ลูกสนใจเสื้อชั้นในหรือยัง
เอาแบบไหนดี” การพูดแบบนี้อาจจะทำให้ลูกสาวคลายความกังวลใจและเห็นเป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่รู้ว่า
“เธอกำลังเป็นสาว กำลังมีนม ต้องใส่เสื้อยกทรง ไม่ใช่เสื้อคอกระเช้าอย่างเด็กๆ”
ถ้าคุยกับลูกชาย อาจบอกลูกว่า “มีดโกนหนวดของพ่อเป็นแบบ
2 ชั้นสวิงนะ เพราะมันใช้โกนหนวดแข็งๆได้ดี
ถ้าใช้ต้องระวังหน่อย” เท่านี้ลูกชายก็รู้ว่าพ่อแม่รู้แล้วว่าเขามีหนวดอ่อนกำลังขึ้น
ไม่เป็นไร สบายๆ เป็นต้น
ปัญหาอีกอย่างของวัยรุ่นที่เริ่มพบคือ
เด็กจะหงุดหงิดโกรธง่ายทั้งเด็กหญิงเด็กชาย จะมีอารมณ์ไม่มั่นคง ใจน้อย
ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทำให้พ่อแม่รำคาญ
ต้องถกเถียงขัดแย้งกันบ่อยๆปัญหาอารมณ์ของลูกนี้เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศที่อยู่ระหว่างการปรับตัว
ต่อเมื่อระดับฮอร์โมนเพศที่อยู่บ้างตามรอบเดือน ต้องเข้าใจลูก
ถ้าลูกสาวจะหงุดหงิดบ้างให้ดูรอบเดือนของลูก ใกล้ประจำเดือนมาแล้ว
จะหงุดหงิดง่ายและร้องไห้ง่ายเป็นธรรมดา อย่าดุเขาแบบไม่เข้าใจ
ลูกวัยรุ่นจะมีโลกส่วนตัว
ชอบกิจกรรมนอกบ้าน ชอบเป็นตัวเอง ถ้ามีห้องส่วนตัวก็จะแยกไม่สุงสิงกับใคร ทั้งนี้เพราะเป็นช่วงวัยที่เด็กพยายามเข้าใจตอนเอง
เข้าใจสังคม พ่อแม่ไม่ต้องห่วงเพราะลูกมีเหตุผล
การคุยกับลูกแบบเพื่อนจะทำให้มิตรไมตรีดีขึ้นด้วย อย่าละลาบละล้วงลูก
ให้เกียรติลูก เมื่อลูกเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ลูกจะทำตนเป็นคนน่ารัก
เพราะพ่อแม่เข้าใจเขาตลอดช่วงเวลาวิกฤตของวัย
ลูกแต่ละช่วงวัยมีความงดงามตามธรรมชาติอยู่ในตัว
พ่อแม่ตั้งรับรู้และเข้าใจธรรมชาติของเขา
เมื่อจะเลี้ยงเขาต้องเข้าใจและให้การเลี้ยงดูด้วยการปฏิบัติต่อไปนี้เป็นสำคัญ
· ดูแลร่างกายและสุขภาพ
· ให้ความรักและกำลังใจ
· ให้คำแนะนำคำสอนที่เหมาะสม
· สนับสนุนและให้โอกาส
· ให้คิดและฉลาดด้วยตัวเด็กเอง
การปฏิบัติดังกล่าวเพียงเท่านี้
ง่ายนิดเดียว ที่สำคัญพ่อแม่ก็จะได้ลูกที่ดีที่สุดโดยไม่เหนื่อยเลย
ถ้าอยากรู้รายละเอียด อยากเห็นตัวอย่างการปฏิบัติ ก็มีหนังสือหลายเล่มให้ค้นอ่าน
มีเครือข่ายสารสนเทศในคอมพิวเตอร์ให้ค้นคว้า ลองเปิดอ่านทำความเข้าใจและปฏิบัติตาม
ท่านจะได้ทั้งความรู้และลูกที่ดี
เด็กมีความงอกงามตามวัยเหมือนธรรมชาติของดอกไม้
ที่พร้อมชูช่อบานสวย
หากดอกไม้ได้รับการดูแลที่ดีก็จะเจริญเติบโตขยายกลีบเป็นดอกไม้ที่สวยงาม
แต่ถ้าดอกไม้ได้รับการดูแลไม่ถูกต้อง มีความเข้มงวด มีการนำถุงพลาสติกมาหุ้มดอก
ด้วยเกรงแมลงจะมากัดกิน ดอกไม้ก็ไม่เจริญเติบโตอาจเหี่ยวเฉา หรือบางทีรักมากเกินไป
ไม่ช่วยให้ดอกไม้งดงาม
ในทางตรงกันข้ามหากไม่ใส่ใจเลยดอกไม้ก็เหี่ยวเฉาเป็นเรื่องธรรมดา
เช่นกันกับการเลี้ยงลูกก็เหมือนกับดูแลดอกไม้ ถ้าต้องการให้ดอกบานสวยกับต้น
พ่อแม่ต้องใส่ใจลูกรักอย่างพอเหมาะ ลูกก็จะเจริญตามวัยได้อย่างงดงาม
ฉันใดก็ฉันนั้น หากลูกได้รับการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง นับวันมีแต่ชื่นใจ
ไม่เหนื่อยกาย ไม่เหนื่อยใจเลย
ภาพต่อไปนี้
ต้องการแสดงเปรียบเทียบว่าลูกแต่ละวัย
พัฒนาการตามวัยเป็นการก้าวเลื่อนของชีวิต
ที่ทำให้ความสามารถการแสดงออกของเด็กแตกต่างไป
จากน่ารักเลี้ยงง่ายกลายเป็นความยุ่งยาก
หากพ่อแม่เข้าใจแล้วปรับให้เข้ากับวัยของลูก การเลี้ยงลูกก็ง่ายนิดเดียว
แถมได้ลูกดีอีกต่างหาก
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น